เรียนรู้คุณค่าแห่งชีวิต
Life is Learning Learning is Life
การเรียนรู้ครั้งใหม่ ที่อายุไม่ใช่อุปสรรค
สมชาย จงนรังสิน
ถ้าหากว่าชีวิตของคุณเดินทางมาถึงวัยเกษียณ คุณอาจคิดว่าตนเองเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ใช้เวลาที่เหลือไปกับการพักผ่อน เลี้ยงหลาน ปลูกต้นไม้ และอีกมากมายที่เป็นภาพจำของคนทั่วไปว่าคนวัยเกษียณต้องทำกัน
แน่นอนว่ากิจกรรมเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์เช่นกัน แต่จะดีแค่ไหนถ้าคุณลุกขึ้นมาใช้เวลาที่เหลือท้าทายข้อจำกัดของตัวเองด้วยการไปออกกำลังกายอย่างจริงจัง สร้างความมุ่งมั่นให้กับชีวิตด้วยการฝึกซ้อมและแข่งขัน เหมือนอย่างที่ คุณเบน-สมชาย จงนรังสิน ได้ลุกขึ้นมาทำ
จากชายวัยเกษียณที่อยากหากิจกรรมทำทุกวัน เขาเริ่มต้นด้วยการปั่นจักรยานระยะทางสั้นๆ ใกล้บ้าน หลายปีให้หลังเขาออกกำลังกายสัปดาห์ละ 6 วัน เข้าร่วมแข่งขันกีฬาต่างๆ แทบทุกอาทิตย์ ทั้งการปั่นจักรยานทางไกล แข่งขันไตรกีฬา หรือแม้แต่การวิ่งมาราธอน
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่มากมายจากการออกกำลังกาย เป็นสิ่งใหม่ที่การใช้ชีวิตก่อนหน้านั้นมาทั้งชีวิตไม่เคยค้นพบมาก่อน
เรียนรู้ด้วยการลงมือทำ ไม่มีที่ว่างให้ข้อแม้
สำหรับผู้ที่เข้าสู่การเกษียณอายุจำนวนมาก การต้องยุติอาชีพที่ทำมายาวนานหลายสิบปีลงอาจทำให้ชีวิตต้องเผชิญกับปัญหา แต่สำหรับ คุณเบน-สมชาย จงนรังสิน เขาไม่ปล่อยให้ชีวิตต้องเผชิญกับความเคว้งคว้างเช่นนั้น เพราะเมื่อตัดสินใจเกษียณจากงานกัปตันเครื่องบินที่ทำมาเกือบ 40 ปี เขาได้เริ่มต้นความท้าทายใหม่ให้กับตัวเอง ด้วยการตัดสินใจเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างจริงจัง
เมื่อมีเป้าหมาย คุณสมชายจึงเริ่มมองหากิจกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง เดิมนั้นเขาเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำอยู่แล้ว แต่เพื่อให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องไม่ยุ่งยาก เขาจึงถือโอกาสที่หลังบ้านมีเส้นทางจักรยาน ตัดสินใจเลือกการเริ่มต้นการออกกำลังกายในวัยเกษียณด้วยการปั่นจักรยาน
ในวันแรก หลังจากที่เลือกซื้อจักรยานคันเล็กๆ มาได้คันหนึ่ง คุณสมชายเริ่มต้นออกไปปั่นจักรยานตามความตั้งใจของตนเองทันที แม้ว่าในวันนั้นเขาจะปั่นไปได้เพียงแค่ 2 กิโลเมตรก็เหนื่อยจนปั่นต่อไม่ไหว แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้หรือเสียกำลังใจเลยแม้แต่น้อย
คุณสมชายกลับมองว่านี่คือความท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตของเขา เขาตระหนักดีว่า ต้องพยายามให้หนักมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพร่างกาย ไม่หักโหมจนเกินไป เขาจึงออกไปปั่นจักรยานทุกวันและค่อยๆ ขยับระยะทางเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ จากระยะทาง 2 กิโลเมตรในวันแรก ต่อมาเขาสามารถปั่นได้เป็นระยะทางเพิ่มขึ้นเป็น 5 กิโลเมตร 10 กิโลเมตร 20 กิโลเมตร และในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขาสามารถปั่นได้ไกลเป็นร้อยๆ กิโลเมตร โดยไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนวันแรกอีกเลย
เมื่อประสบความสำเร็จตามความตั้งใจ ที่จะเป็นคนวัยเกษียณที่ไม่อยู่เฉยอย่างเปลี่ยวเหงาด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว คุณสมชายตั้งเป้าหมายให้ไกลขึ้นอีกขั้น ด้วยการวางแผนปั่นจักรยานทางไกล เพราะเขาเชื่อมั่นว่า การปั่นจักรยานออกนอกเส้นทางที่คุ้นเคยเป็นระยะทางไกลๆ จะช่วยกระตุ้นความมีชีวิตชีวาให้เพิ่มขึ้น และเขาก็ทำเป้าหมายให้สำเร็จด้วยทริปแรกในการปั่นจักรยานทางไกลไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
“วันนั้นผมมีความสุขมาก” คุณสมชายบอกความรู้สึกของเขา “ผมได้เดินทางด้วยสองขาของเราเอง เป็นความรู้สึกที่ต่างจากการนั่งรถยนต์ไป ได้เจอผู้คน ได้เจอบรรยากาศท้องทุ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อน เป็นความรู้สึกที่ดีกับตัวเองที่ตัดสินใจหันมาออกกำลังกาย”
การพบเจอความสุขในรูปแบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เป็นบทเรียนสำคัญของการเรียนรู้ในชีวิตของคนเราที่คุณสมชายได้พบเจอจากกิจกรรมง่ายๆ คือการออกไปปั่นจักรยาน
ก้าวหน้าด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่นเพื่อเป้าหมาย สำเร็จเพื่อ ตนเองและคนอื่น
จากวันแรกที่จบด้วยการปั่นจักรยานได้ระยะทางแค่ 2 กิโลเมตร จนถึงการบรรลุเป้าหมายใหญ่ด้วยการปั่นจักรยานออกต่างจังหวัด คุณสมชายยังคงเรียนรู้และศึกษาขอบเขตทางร่างกายของตัวเองไปเรื่อยๆ เขาเริ่มก้าวเข้าสู่สนามแข่งขัน ตั้งแต่แข่งขันในระยะทาง 200, 300, 600 หรือแม้แต่ 1,000 กิโลเมตร
เขาสรุปบทเรียนให้กับตนเองได้อย่างชัดเจนว่า การลงแข่งขันนั้นไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร แต่เป็นการต่อสู้กับหัวใจของตัวเอง และคุณสมชายก็เดินหน้าท้าทายความสามารถของตนเองไปเรื่อยๆ ทีละนิดๆ ก้าวผ่านข้อจำกัดต่างๆ ของตนเองไปอย่างมุ่งมั่นเสมอ
จากการปั่นจักรยาน เขาก้าวไปสู่กีฬาที่หนักขึ้นด้วยการลงแข่งขันไตรกีฬา ที่รวมเอาการวิ่ง ปั่นจักรยาน และว่ายน้ำเข้าไว้ด้วยกัน
“ผมเชื่อว่าตัวเองน่าจะทำได้” คุณสมชายพูดถึงความท้าทายครั้งสำคัญของเขาที่มาจากการประเมินสภาพร่างกาย ของตนเองมาอย่างดี พร้อมกับการวางแผน อย่างละเอียดรอบคอบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งสุดท้ายการแข่งขันไตรกีฬาก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่เขาบรรลุได้อีกครั้ง การลงสนามไตรกีฬาครั้งแรก คุณสมชายได้อันดับที่ 60 จาก 120 คน เป็นอันดับที่ไม่แย่เลยเมื่อนึกถึงว่าเขาเป็นชายวัยกว่า 60 ปี
หลังจากผ่านไตรกีฬา เขาไม่หยุดความท้าทายไว้เท่านั้น ด้วยการลงแข่งขันวิ่งมาราธอน ระยะทาง 42.195 กิโลเมตร ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยวิ่งในระยะทางไกลมาก่อน แต่ก็เหมือนกับทุกความท้าทายก่อนหน้านี้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยาน การลงแข่งขันไตรกีฬา ที่เขาเอาชนะทุกข้อจำกัดมาได้ทุกครั้ง
“ตอนนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะวิ่งจบหรือเปล่า แค่รู้ว่าจะผ่านไปได้ เพราะเวลาเราปั่นจักรยานยังทนแดด ทนลมได้ 40 ชั่วโมง ระยะเวลาวิ่ง 7 ชั่วโมงก็ไม่น่ามีปัญหา” เขาบอกถึงความเชื่อมั่น หลังจากวางเป้าหมาย คุณสมชายเริ่มต้นการฝึกซ้อมอีกครั้ง เขาวางแผนการวิ่งของตัวเองด้วยการแบ่งออกเป็น 5 ช่วง 10 กิโลเมตรแรกใช้เวลา 90 นาที 10 กิโลเมตรที่สองใช้เวลา 90 นาที 10 กิโลเมตรที่สามใช้เวลา 105 นาที 10 กิโลเมตรที่สี่ใช้เวลา 105 นาที ส่วนที่เหลืออีก 2.195 กิโลเมตร
จะใช้เวลาครึ่งชั่วโมง นอกจากการซ้อมวิ่งแล้วเขายังแบ่งเวลาไปออกกำลังกายอย่างอื่นเพื่อสร้างความแข็งแรงเพิ่มเติมด้วย
เมื่อถึงวันแข่งขันจริง เขาวิ่งตามแผนที่ ตนเองได้วางเอาไว้ และสามารถจบการวิ่งด้วยเวลาที่ดีกว่าที่ตั้งใจเอาไว้พอสมควร เป็นการพิชิตการแข่งขันวิ่งมาราธอนครั้งแรกได้อย่างงดงาม
“การมีวินัยกับตัวเอง คือ หัวใจของความสำเร็จ และหากเราตัดสินใจลงสนามแล้วต้องพยายามทำให้สำเร็จ เพราะเป็นสิ่งที่เราตั้งใจไว้ ทุกวันนี้ผมมักคิดเสมอว่าต้องแข็งแรงเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน ล่าสุดเพิ่งไปตรวจร่างกายมา ปรากฏว่าหัวใจโต ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เกิดได้น้อยมากกับคนที่อายุมากๆ ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็กหรือนักกีฬาที่ออกกำลังกายเยอะๆ ผมอยากให้คนรุ่นหลังๆ ได้เห็นว่า
คนอายุมากอย่างผมก็ทำได้ พวกคุณที่อายุน้อยกว่าต้องทำให้ดีกว่าจริงไหม”
คุณสมชายผู้ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งการปั่นจักรยานอย่างสม่ำเสมอ การลงแข่งขันไตรกีฬา ไปจนถึงการวิ่งมาราธอน อย่าลืมว่าเขาเริ่มต้นทำสิ่งเหล่านี้ในวัยเกษียณ บทเรียนที่เขาเรียนรู้ ข้อคิดที่ทำให้เขาค้นพบ ล้วนแต่คือสิ่งที่บุคคลอื่นควรเรียนรู้จากประสบการณ์ของเขาและนำเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตของตนเองทั้งสิ้น
เรียนรู้จากประสบการณ์ สู่เป้าหมายที่มีคุณค่ามากขึ้น ในวันข้างหน้า
คุณสมชายบอกว่า เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จในการเอาชนะความสามารถของตนเองตลอดเวลา หลายครั้งในการฝึกซ้อมและแข่งขันหลายอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่เขาวางเป้าหมายเอาไว้ มีบางครั้งที่เขาพลาด ล้ม และบาดเจ็บ แต่เขาเก็บเกี่ยวความผิดพลาดไว้เป็นประสบการณ์เพื่อความรอบคอบขึ้นในการลงแข่งขันครั้งต่อไป
“ครั้งหนึ่งไปปั่นจักรยานที่เขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องภูเขามาก่อน ก็เลยสนุกคึกคะนอง จังหวะที่ลงเขา ทางขรุขระและชันมาก รากไม้ก็เยอะแยะ เราก็ลงมาด้วยความเร็ว จนบังคับรถไม่ได้ รถลอยล้มฟาดพื้น จนหมวกแตก ซี่โครงหัก 4 ซี่ ไหปลาร้าหัก เอ็นหัวไหล่ขาด ตอนนั้นอยู่ในเขาด้วย ไม่มีคนช่วย ผมก็ค่อยๆ ใช้มือซ้ายจับมือขวา เพื่อมาจับแฮนด์จักรยานพยายามขี่ออกมา แต่คนที่นำทางก็ไม่คุ้นทาง พาหลงไปอีก 4-5 กิโลเมตร กว่าจะหลุดมาได้ พอมาถึงกรุงเทพฯ ถึงได้ไปโรงพยาบาล เป็นอุบัติเหตุที่หนักสุดในชีวิต แต่ก็ไม่ท้อ พยายามรักษาให้หายดี
“ทุกวันนี้ยอมรับว่ารู้สึกกลัวอยู่บ้าง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องลงเขา รู้สึกตัวว่าต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ไม่ใช่ห้าวหาญแบบแต่ก่อน อย่างตอนนี้ ผมจะปล่อยให้ทุกคนลงไปเลย ส่วนตัวเองก็พยายามกดเบรกเรื่อยๆ แม้จะช้าบ้างหรือมาถึงคนสุดท้ายก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อย ผมถือว่าเป็นการเซฟตัวเองให้ปั่นต่อเนื่องไปตลอด”
อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้เขาได้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง เป็นเป้าหมายที่สูงกว่าการเอาชนะการแข่งขัน แต่เป็นบทเรียนในการวางเป้าหมายในชีวิตสำหรับ เวลาที่ยังเหลืออยู่ข้างหน้าให้มีคุณภาพที่สุด
“ผมถือว่าเราไม่ได้แข่งกับใคร เป้าหมาย เราเปลี่ยนได้ แต่ร่างกายเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราควรทำชีวิตทุกวันให้มีความสุข ขณะนี้ผมอายุ 66 ปีแล้ว สมมติว่าผมว่าอยู่ได้อีก 10 ปี ผมก็จะมีเวลาเหลือ 3,000 กว่าวัน ดังนั้นทุกวันจึงมีค่าสำหรับผมมาก ที่ผ่านมามีคนเคยถามว่า ถ้าวันนี้ออกกำลังกายไม่ไหว จะยังมีความสุขอยู่หรือไม่ ผมคิดว่าหากวันนั้นมาถึง เราก็ต้องมีความสุขให้ได้ เพียงแต่มันอาจจะเป็นสุขอีกแบบหนึ่งเท่านั้นเอง”
และนี่คือเรื่องราวของคุณสมชาย จงนรังสิน ชายที่เริ่มต้นเรียนรู้ข้อจำกัดของตนเอง สร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับชีวิตของตนเองในวัยเกิน 60 ปี
เส้นทางการเรียนรู้ครั้งใหม่ เพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการเรียนรู้จากภายใน ผ่านการพูดคุยกับผู้ทรงคุณวุฒิ 6 ท่าน ถึงแนวคิดการเรียนรู้ของชีวิตในมิติต่างๆ และประสบการณ์ตรงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของกัลยาณมิตร 9 ท่านที่กรุณาบอกเล่าแบ่งปันประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งสำคัญของชีวิต ที่ทำให้แต่ละท่านได้เข้าถึงคุณค่าแห่งชีวิตของตนและใช้ชีวิตหลังจากนั้นอย่างมีความหมาย